Category Archives: อำนาจปกครองบุุตร

อำนาจปกครองบุตร-ฟ้องขอให้รับเป็นบุตร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3741/2533

ประเด็นสำคัญ

  • การฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย หากปรากฏในทะเบียนคนเกิดว่าบิดาเป็นผู้แจ้งการเกิดหรือรู้เห็นยินยอมในการแจ้งเกิดของบุตร ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายนั้น
  • บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายสามารถฟ้องเรียกมาทรัพย์มรดกได้ หากบุตรมีสามีหรือภรรยาก็สามารถฟ้องได้เองโดยไม่ต้องขอความยินยอมจากคู่สมรส เพราะทรัพย์มรดกถือเป็นสินส่วนตัว
  • ผู้ที่สามารถยกอายุความ 1 ปี ขึ้นต่อสู้ได้ คือ ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดก ถ้าเป็นทายาทที่ไม่มีสิทธิได้รับมรดก ไม่สามารถยกอายุความขึ้นต่อสู้ กับทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกได้
  • ค่าใช้จ่ายทั้งหลายอันควรแก่การรักษาทรัพย์สิน ค่าใช้จ่ายในการทำศพที่ได้ออกไปก่อน สามารถมาเรียกเอาเงินค่าใช้จ่ายนี้กับผู้จัดการมรดกได้ แต่ค่าใช้จ่ายและค่าผลประโยชน์นั้นไม่สามารถเรียกคืนได้

สรุปย่อสั้น

การที่ ผ. เป็นผู้ไปแจ้งการเกิดของโจทก์โดยระบุว่าตนเองเป็นบิดา ยินยอมรับโจทก์ว่าเป็นบุตรอยู่ในทะเบียนบ้าน และระหว่างสงครามก็พาโจทก์และภรรยาอพยพครอบครัวไปด้วยกัน พฤติการณ์แสดงว่าโจทก์เป็นบุตรที่ ผ. รับรองแล้ว ทรัพย์มรดกของ ผ. เป็นสินส่วนตัวของโจทก์ การที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาทรัพย์มรดกดังกล่าว จึงเป็นการจัดการสินส่วนตัวของโจทก์ ซึ่งโจทก์มีอำนาจจัดการเองได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี ผู้ที่จะยกอายุความ 1 ปี ขึ้นต่อสู้ได้ก็แต่เฉพาะทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นเพียงน้องเจ้ามรดก ไม่มีสิทธิได้รับมรดกเพราะยังมีโจทก์ซึ่งเป็นบุตรและเป็นทายาทลำดับเหนือกว่าอยู่ จำเลยจะยกเอาอายุความมรดกมาต่อสู้โจทก์ผู้เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกหาได้ไม่ เหตุที่จำเลยฟ้องเรียกเอาทรัพย์มรดกของ ผ.จากอ.ผู้จัดการมรดกเพราะเข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์ได้หายสาบสูญไปจำเลยจึงมีสิทธิที่จะเรียกเอาเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จำเลยต้องออกไปตามความจำเป็นในการจัดการทรัพย์มรดก โดยถือเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหลายอันควรแก่การรักษาทรัพย์สิน รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการทำศพ ผ.ด้วย ส่วนค่าใช้จ่ายและค่าผลประโยชน์ของจำเลยนั้น จำเลยหามีสิทธิทีจะนำมาหักไม่

ที่มา : http://deka.supremecourt.or.th

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 647/2521

ประเด็นสำคัญ

  • หากบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องการที่จะจดทะเบียนบุตรที่เกิดนอกสมรสให้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายจะต้องไปขอจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อสำนักทะเบียน
  • ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านการขอจดทะเบียนบิดา บิดาจึงจะมีอำนาจนำคดีมาฟ้องศาลได้โดยฟ้องเด็กและมารดาร่วมกันเป็นจำเลย

สรุปย่อสั้น

บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ถ้า) ประสงค์จะจดทะเบียนบุตรที่เกิด ก่อนสมรสให้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายจะต้องไปขอจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อสำนักทะเบียนถ้าเด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านการขอจดทะเบียนบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงจะมีอำนาจนำคดีมาฟ้องศาลได้โดยฟ้องเด็กและมารดาร่วมกันเป็นจำเลย เมื่อปรากฏทั้งจากคำบรรยายฟ้องของโจทก์และทางนำสืบว่าก่อนฟ้องโจทก์ไม่เคยไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองเด็กชายโอภาสต่อนายทะเบียนหรือจำเลยได้คัดค้านการขอจดทะเบียนข้อโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายจึงยังไม่เกิดขึ้นแก่โจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาล แม้จำเลยจะมิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ ไว้ในคำให้การและไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามศาลฎีกาก็ยกขึ้นได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยไปให้ความยินยอมจดทะเบียนว่าเด็กชาย อ. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้โจทก์ มอบคืนเด็กชาย อ. แก่จำเลย แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลก็พิพากษาให้โจทก์มอบเด็กชาย อ. คืน ให้กับจำเลยตามฟ้องแย้งได้

ที่มา : http://deka.supremecourt.or.th

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2533

ประเด็นสำคัญ

  • เมื่อเด็กมีครบอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ เด็กสามารถฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
  • เด็กยังไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยในขณะที่ฟ้อง คดีจึงไม่เป็นคดีอุทลุม
  • การฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู เป็นเรื่องต่อเนื่องจากการรับรองบุตร ดังนั้น เด็กจึงสามารถฟ้องเรียกค่าอุปการะได้เช่นเดียวกัน

สรุปย่อสั้น

โจทก์ผู้มีอายุ 16 ปีเศษ ซึ่งฟ้องขอให้จำเลยผู้เป็นบิดารับรองโจทก์เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น มีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยในคดีเดียวกันนี้ได้ เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1556 วรรคสอง ให้อำนาจเด็กที่มีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ฟ้องคดีให้รับรองเด็กเป็นบุตรได้เองโดยเฉพาะ อีกทั้งขณะยื่นฟ้องโจทก์ก็ยังไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย คดีของโจทก์จึงไม่เป็นคดีอุทลุม ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 และการฟ้องของโจทก์ในเรื่องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู เป็นผลหลังจากที่มีการรับรองความเป็นบุตรของโจทก์แล้ว และเป็นเรื่องต่อเนื่องจากการรับรองบุตรนั่นเอง โจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลย การที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรภายใน30 วัน ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้นเป็นการไม่ชอบเพราะตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวพ.ศ. 2478 มาตรา 20 บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียเพียงแต่ยื่นสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งรับรองถูกต้องแล้ว เพื่อให้บันทึกในทะเบียนเท่านั้น ประกอบกับโจทก์มิได้มีคำขอบังคับดังกล่าวมาในคำฟ้องจึงเป็นกรณีที่พิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 วรรคแรก

ที่มา : http://deka.supremecourt.or.th

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4323/2540

คำสำคัญ

  • การถอนอำนาจปกครอง
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582 วรรคที่ 1

สรุปย่อสั้น

ในการถอนอำนาจปกครองนั้น กฎหมายให้อำนาจศาลถอนเสียได้โดยลำพังโดยไม่ต้องให้ผู้ใดร้องขอก็ได้ หากมีเหตุตามบทบัญญัติแห่งป.พ.พ.มาตรา 1582 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้ในขณะผู้ร้องยื่นคำร้องผู้ร้องยังมิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์ก็ตาม แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลว่ามารดาของผู้เยาว์ย้ายไปอยู่ที่อื่นและสมรสใหม่ตั้งแต่ผู้เยาว์อายุได้เพียงปีเศษและไม่เคยกลับมาดูแลผู้เยาว์อีกเลย กรณีจึงเป็นการที่มารดาผู้เยาว์ใช้อำนาจปกครองแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาถอนอำนาจปกครองจากมารดาผู้เยาว์ และเมื่อปรากฏว่าผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ร้องมาโดยตลอด การให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ย่อมเหมาะสมกว่า

ที่มา : http://deka.supremecourt.or.th

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8504/2544

คำสำคัญ

  • การขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
  • การรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1555, มาตรา 1558

การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1555 หากบิดามีชีวิตอยู่ต้องดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาทคือฟ้องบิดาโดยทำเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แต่ถ้าบิดาถึงแก่ความตายไปแล้วต้องดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อพิพาทคือเริ่มคดีโดยยื่นคำร้องขอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 188(1) ดังนั้น เมื่อผู้ตายซึ่งเป็นบิดาได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว โจทก์จึงต้องดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อพิพาท ส่วนบทบัญญัติมาตรา 1558 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิที่จะได้รับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมซึ่งเป็นผลตามมาจากการที่ร้องขอให้ศาลพิพากษาเป็นบุตร มิใช่บทบัญญัติที่ให้อำนาจโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะทายาทผู้ตายเพื่อให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย

ที่มา : http://deka.supremecourt.or.th

อำนาจปกครองบุุตร-ค่าเลี้ยงดูบุตร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2562

เงินเลี้ยงลูกต้องมาก่อน: ศาลฎีกาตัดสินชัด หนี้นอกระบบไม่สามารถอ้างเพื่อเลี่ยงสัญญาหย่าได้

  • ในคดีหย่าที่มีบุตรผู้เยาว์เข้ามาเกี่ยวข้อง การตกลงค่าอุปการะเลี้ยงดูจึงเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่เพียงข้อตกลงทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นพันธะทางศีลธรรมของผู้เป็นพ่อแม่ ล่าสุดศาลฎีกาตอกย้ำหลักการนี้ไว้อย่างชัดเจนว่าการอ้างภาระหนี้นอกระบบหรือปัญหาทางการเงินไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการเลี่ยงภาระหน้าที่ตามสัญญาหย่าได้ คำพิพากษานี้จึงเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญในการจัดการปัญหาภายหลังการหย่า โดยเฉพาะในเรื่องของ “ความรับผิดชอบที่ยังคงอยู่แม้ความสัมพันธ์จะจบลง”

บทความน่าสนใจ

ในคดีนี้ โจทก์และจำเลยเคยจดทะเบียนสมรสและมีบุตรร่วมกัน 2 คน ต่อมาทั้งคู่หย่ากันโดยมีข้อตกลงแนบท้ายว่าจำเลยจะจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 20,000 บาท รวมทั้งรับผิดชอบค่าเรียนทั้งหมดของบุตรคนโต แต่จำเลยกลับหยุดชำระเงินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2559 ทั้งที่ยังมีรายได้และได้รับเงินชดเชยจากการออกจากงานในภายหลัง

จำเลยอ้างว่าเงินดังกล่าวถูกนำไปชำระหนี้นอกระบบและหนี้ครัวเรือนร่วมกับโจทก์ จึงไม่มีเงินจ่ายตามข้อตกลงหย่า อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาวินิจฉัยชัดว่า หนี้นอกระบบไม่มีหลักฐานตามกฎหมาย และไม่อาจมีน้ำหนักเหนือพันธะตามสัญญาหย่าที่ชัดเจน อีกทั้งสิทธิในการเรียกค่าเลี้ยงดูเป็นของบุตร ไม่ใช่ของโจทก์ จึงไม่อาจถูกนำมาหักกลบลบหนี้ได้

ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาหย่าทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7108/2551

ค่าเลี้ยงดูลูก พ่อแม่ต้องรับผิดร่วมกัน ไม่ใช่แค่ฝ่ายที่เลี้ยง

  • เมื่อชีวิตคู่ถึงจุดจบ หน้าที่พ่อแม่ยังไม่สิ้นสุด แม้ต่างฝ่ายจะหันหลังให้กันในทางกฎหมาย แต่บุตรที่เกิดร่วมกันยังคงเป็นภาระผูกพันที่ไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้ กรณีตัวอย่างจากคำพิพากษาศาลฎีกานี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ปกครองที่กำลังจะหย่า หรือหย่าแล้ว ว่า “การเลี้ยงดูบุตรไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง แต่คือความรับผิดร่วมกันตามกฎหมาย” และแม้จะมีการจ่ายเงินเพื่อการศึกษา ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะละทิ้งค่าเลี้ยงดูบุตรได้ คดีนี้สะท้อนทั้งหลักกฎหมายและความเป็นธรรมในครอบครัวอย่างลึกซึ้ง

บทความน่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกานี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า บิดาและมารดามี “หน้าที่ร่วมกัน” ในการอุปการะเลี้ยงดูบุตรตาม ป.พ.พ. มาตรา 1564 วรรคหนึ่ง ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ดูแลบุตรอยู่กับตน หากไม่มีข้อตกลงให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับผิดชอบฝ่ายเดียว อีกฝ่ายยังต้องร่วมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมกันตาม มาตรา 296 แม้จำเลยจะอ้างว่าได้ออกค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาไปแล้ว ก็ไม่สามารถใช้ข้อนี้เพื่อปฏิเสธค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ เนื่องจากเป็น “คนละส่วนกัน”

อีกทั้งแม้จำเลยจะมีรายได้มากกว่าโจทก์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ความรับผิดในการเลี้ยงดูต้องเป็นธรรมแก่บุตร ทั้งนี้ศาลสามารถกำหนดหรือแก้ไขจำนวนได้ตาม มาตรา 1598/38 และ 1598/39

ในกรณีนี้ แม้จำเลยต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตรทั้งสอง เดือนละคนละ 8,000 บาท แต่ต่อมาเมื่อบุตรคนเล็กกลับมาอยู่กับจำเลย ศาลจึงตัดภาระนี้นับแต่เดือนมีนาคม 2550 เป็นต้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2697/2548

การฟ้องคืนค่าเลี้ยงดูหลังหย่า

  • หลายคนเข้าใจว่าหน้าที่พ่อแม่จบลงเมื่อมีการหย่าและลูกบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้เผยให้เห็นว่า ภาระในการเลี้ยงดูบุตรนั้นเป็นภาระร่วมที่ตามติดแม้ชีวิตสมรสจะสิ้นสุด หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เพียงลำพัง ก็มีสิทธิเรียกคืนจากอีกฝ่ายภายใต้กรอบกฎหมายและอายุความที่ชัดเจน คดีนี้จึงเป็นตัวอย่างสำคัญที่บิดามารดาทุกคนควรศึกษา โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีข้อตกลงเรื่องค่าเลี้ยงดูหลังหย่า

บทความน่าสนใจ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้เกิดจากกรณีที่โจทก์ (มารดา) เลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์หลังหย่าโดยลำพัง โดยไม่มีข้อตกลงว่าเธอจะต้องรับภาระฝ่ายเดียว เมื่อลูกทั้งสามบรรลุนิติภาวะแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลย (อดีตสามี) เรียกคืนค่าเลี้ยงดูย้อนหลัง จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และคดีขาดอายุความ แต่ศาลฎีกายืนยันว่า มาตรา 1564 และ 1565 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้พ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงดูบุตรร่วมกัน หากฝ่ายใดจ่ายฝ่ายเดียว ย่อมฟ้องอีกฝ่ายเพื่อแบ่งภาระได้ตามมาตรา 229(3)

ศาลวินิจฉัยว่า การเรียกค่าเลี้ยงดูย้อนหลังมีอายุความ 5 ปี นับจากวันที่เริ่มชำระ ไม่ใช่คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างผู้เยาว์กับผู้ใช้อำนาจปกครองที่มีอายุความเพียง 1 ปี

ผลสุดท้าย ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงดูย้อนหลังแก่โจทก์จำนวน 76,602 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2561

ฟ้องหย่าโดยไม่มีเหตุเพียงพอ ศาลยกฟ้องและสั่งให้จ่ายค่าเลี้ยงดูภริยา

  • ในคดีหย่าที่สะท้อนความซับซ้อนของชีวิตคู่ ศาลฎีกากลับไม่เห็นด้วยกับการฟ้องหย่าของฝ่ายสามี ทั้งที่อ้างว่าภริยาเป็นฝ่ายสร้างปัญหาให้ชีวิต จนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงลึกลงไป กลับพบว่าฝ่ายภริยาเป็นผู้ถูกทอดทิ้งและพยายามรักษาครอบครัวไว้ คดีนี้จึงกลายเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคดีครอบครัว ที่ศาลมองเกินกว่าคำกล่าวอ้าง และให้ความสำคัญกับพฤติกรรมและความพยายามของคู่สมรสในความเป็นจริง

บทความน่าสนใจ

โจทก์ทันตแพทย์ชาย ฟ้องหย่าภริยา โดยอ้างว่าไม่ได้รับความสงบในชีวิตคู่ และถูกภริยาละเมิดสิทธิส่วนบุคคล จนไม่สามารถดำรงสถานะสมรสต่อไปได้ แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นศาลกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ศาลรับฟังว่า โจทก์หายออกจากบ้านนาน 3 เดือนโดยไม่ติดต่อ ภริยาเป็นผู้ตามหาสามีที่ย้ายไปเปิดคลินิกที่ภูเก็ต ทั้งยังเดินทางไปอยู่ด้วยหลายครั้ง และทั้งสองยังมีเพศสัมพันธ์กัน แม้โจทก์อ้างว่า “ไม่เป็นปกติ” แต่ศาลเห็นว่าเพศสัมพันธ์ย่อมเกิดจากความยินยอม โดยเฉพาะฝ่ายชายที่หากไม่สมัครใจย่อมเป็นไปไม่ได้

โจทก์ยังอ้างว่าภริยา “รบกวนการเรียน” และ “ทำให้เสียชื่อเสียง” จากการไปพบที่ห้องเรียนแพทย์เฉพาะทาง แต่ศาลกลับเห็นว่าเป็นการแสดงตัวในฐานะภริยา และไม่ได้กระทำใดให้โจทก์เสียหาย มีแต่กลับถูกนางสาว ก. ซึ่งอยู่กับโจทก์ในคลินิก ใช้กำลังทำร้ายต่อหน้าตำรวจ

สุดท้ายศาลเห็นว่าโจทก์ไม่มีเหตุฟ้องหย่า และยังต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูภริยาเดือนละ 20,000 บาท ตามความสามารถและฐานะ และให้คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลย เพราะจำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งเรื่องเลี้ยงดูโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8151/2560

หย่าแล้วมีสิทธิขอค่าเลี้ยงดูได้ไหม

  • ในการหย่าร้าง ไม่ใช่เพียงการสิ้นสุดสถานะความเป็นสามีภริยาเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันกับภาระผูกพันทางกฎหมาย ทั้งเรื่องอำนาจปกครองบุตร และสิทธิในการเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างคู่สมรส คำพิพากษาฎีกาที่ 8151/2560 เป็นตัวอย่างสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า “การมีความผิดเป็นฝ่ายเดียว” ในคดีหย่า ย่อมส่งผลกระทบต่อสิทธิในการเรียกร้องค่าเลี้ยงดูภายหลังการหย่าอย่างไร

บทความน่าสนใจ

ในคดีนี้ โจทก์มีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์และดูแลจนบุตรบรรลุนิติภาวะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1564 วรรคหนึ่ง เมื่อบุตรบรรลุนิติภาวะ โจทก์จึงหมดหน้าที่ในการเลี้ยงดู

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ค่าเลี้ยงชีพของ “จำเลย” ซึ่งเป็นฝ่ายถูกฟ้องหย่า แม้โดยหลักการตาม ป.พ.พ. มาตรา 1526 คู่สมรสที่ยากจนลงเพราะหย่าอาจเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพได้ แต่หากหย่าเกิดจากความผิดของตนเอง เช่น ในกรณีนี้ที่จำเลยกระทำการร้ายแรงต่อสถานะสมรสจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ก็ไม่มีสิทธิขอค่าเลี้ยงชีพภายหลังการหย่า

อย่างไรก็ดี ศาลเห็นว่าในระหว่างก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด จำเลยยังมีสิทธิขอค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ และศาลอาจกำหนดให้โดยไม่ต้องมีคำขอ หากพฤติการณ์และฐานะของทั้งสองฝ่ายเหมาะสมตามมาตรา 1598/38

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7345/2560

รู้หรือไม่? ลูกฟ้องพ่อเรียกค่าเลี้ยงดูย้อนหลังได้ตั้งแต่คลอด

  • คำพิพากษาฎีกาที่ 7345/2560 สะท้อนการเปลี่ยนแปลงสำคัญในแนวทางการตีความกฎหมายครอบครัว โดยเฉพาะสิทธิของเด็กที่เกิดจากบิดามารดานอกสมรส ซึ่งศาลยืนยันว่า “ความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย” ย่อมส่งผลย้อนหลังตั้งแต่วันเกิด ไม่ใช่แค่หลังมีคำพิพากษา นี่จึงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทนายความและผู้ปกครอง ที่ต้องเข้าใจว่า “สิทธิของเด็ก” มีผลบังคับจริงจังและยาวนานกว่าที่คิด

บทความน่าสนใจ

ในคดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบิดา เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 10,000 บาท รวมย้อนหลัง 1,720,000 บาท นับตั้งแต่วันเกิดถึงวันฟ้อง จำเลยอ้างว่าคดีขาดอายุความ แต่ยกประเด็นนี้ไม่ถูกต้องในชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยเพิ่มเติม

ศาลยังชี้ว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1557 (ที่แก้ไขใหม่) ความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผลย้อนหลังไปถึงวันเกิด ส่งผลให้เด็กมีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรได้ตั้งแต่วันคลอด โดยไม่ต้องรอให้ศาลพิพากษาก่อน

แม้ศาลอุทธรณ์ลดค่าเลี้ยงดูลงเหลือ 685,000 บาท โดยเห็นว่าแม่และพ่อควรจ่ายเท่ากัน แต่ศาลฎีกากลับเห็นว่า การกำหนดค่าเลี้ยงดูต้องดูฐานะและความสามารถตาม ป.พ.พ. มาตรา 1598/38 และสามารถปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต การพิพากษาตามยอดเดิม 1,370,000 บาทจึงเป็นธรรมและถูกต้อง